วันศุกร์ที่ 12 ตุลาคม พ.ศ. 2555

ประเทศไอร์แลนด์

ประเทศไอร์แลนด์
ประเทศ ไอร์แลนด์ เป็นประเทศที่มีลักษณะเป็นเกาะ ตั้งอยู่ทางตะวันตกเฉียงเหนือของทวีปยุโรป ล้อมรอบด้วยมหาสมุทรแอตแลนติกและทะเลไอร์แลนด์
ประเทศถูกแบ่ง เขตการปกครองเป็นสองส่วนคือ ไอร์แลนด์เหนือ ( Northern Irelnad ) ซึ่งอยู่ภายใต้การปกครองของสหราชอาณาจัรกร ครอบคลุมอาณาเขต 7 ภูมิภาค มีเมืองหลวง คือ Belfast และ The Republic of Ireland ซึ่งครอบคลุมอาณาเขตที่เหลือของเกาะ มีพื้นที่ประมาณ 70,273 ตารางกิโลเมตร (เมืองไทยมีพื้นที่ประมาณ 514,000 ตารางกิโลเมตร)ประชากรทั้งสิ้นราวๆ 4.3 ล้านคน โดยประชากรมีอายุโดยเฉลี่ยอยู่ที่ 35.6 ปี
จำนวนประชากรต่างชาติ: 468,000 คน
GDP : จากการประมาณการ ปี 2007 1.9 พันล้าน Euro
อัตราแลกเปลี่ยน : (1-06-08) 1 Euro = 51 Baht
ภาษา: คนไอร์แลนด์ใช้ภาษาอังกฤษ และ ภาษาเกลิค (Gaelic) เป็นภาษาทางการ ซึ่งเป็น1ใน2ประเทศเท่านั้นในยุโรปที่ใช้ภาษาอังกฤษเป็นภาษาทางการ
ศาสนา: กว่า 80% ของประชากรในประเทศ นับถือศาสนาคริสต์ นิกายคาทอลิกอย่างเคร่งครัด ส่วนประชากรที่เหลือนั้น นับถือนิกายย่อยๆอื่นๆ และศาสนาอื่นๆ
ภูมิอากาศ: เนื่องจากไอร์แลนด์ได้รับอิทธิพลจากกระแสน้ำอุ่นกลัมฟ์สตรีม อากาศในประเทศไอร์แลนด์จึงไม่รุนแรง หน้าหนาวไม่หนาวจัด หน้าร้อนเย็นสบาย อุณหภูมิในฤดูหนาวอยู่ประมาณ 2-7 องศา ในขณะที่อุณหภูมิในฤดุร้อนจะอยู่ที่ 18-25 องศา สภาพอากาศโดยรวมเหมือนประเทศอังกฤษ บรรยากาศครึ้ม ฝนตกปรอยๆตลอดปี อากาศเย็นสบาย
ข้อมูลเบื้องต้นของประเทศ
ใน ปัจจุบันไอร์แลนด์เป็นประเทศที่น่าสนใจสำหรับนักเรียนนักศึกษาจากทั่วโลก ความเป็นมิตรและการต้อนรับที่อบอุ่นของคนไอริชนั้นเป็นที่ยอมรับและเป็น ปัจจัยสำคัญที่ทำให้การปรับตัวของนักเรียนต่างชาติที่ต้องพลัดถิ่นไปเรียน ที่ไอร์แลนด์นั้นง่ายขึ้น
การเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วของระบบเศรษฐกิจ จากที่อาศัยพึ่งพาการเกษตรกรรมเป็นหลักในทศวรรษ 1950 มาเป็นประเทศสมัยใหม่ที่เต็มไปด้วยการพัฒนาอย่างรวดเร็วของฝ่ายการผลิตที่ ใช้เทคโนโลยีชั้นสูง และฝ่ายการบริการระหว่างประเทศ ทำให้ไอร์แลนด์ในปัจจุบันมีอัตราการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจสูงที่สุดใน ภาคพื้นยุโรป ซึ่งทำให้ไอร์แลนด์ได้ขึ้นชื่อว่าเป็น "เสือแห่งเคลติค" หรือ Celtic Tiger
ด้วย ความที่ประเทศไอร์แลนด์เต็มไปด้วยประชากรแรงงานที่จบการศึกษาจากสถาบันการ ศึกษาในประเทศ ซึ่งมีระบบการศึกษาที่มีมาตรฐานสูงตามระดับสากล และประชากรเหล่านี้ใช้ภาษาอังกฤษเป็นภาษาหลักในการสื่อสาร ทั้งนี้รวมถึงการมีระบบเทคโนโลยีชั้นสูงที่ช่วยอำนวยความสะดวกในการทำธุรก รรมต่างๆทำให้บริษัทต่างชาติทั้งรายใหญ่ และรายย่อยนิยมมาลงทุนในไอร์แลนด์ และทำให้ไอร์แลนด์มีเงินลงทุนโดยตรงของชาวต่างชาติเป็นจำนวนเงินมหาศาลใน ระบบเศรษฐกิจของประเทศ และเป็นผลเศรษฐกิจของประเทศเติบโตขึ้นอย่างรวดเร็ว
ภาค การศึกษาในระดับนานาชาติมีความสำคัญต่อไอร์แลนด์เป็นอย่างมาก รัฐบาลของไอร์แลนด์ลงทุนเงินจำนวนมหาศาลกับระบบการศึกษาในประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งระบบการศึกษาในระดับนานาชาติ เพื่อเป็นการโปรโมทการศึกษา และเพื่อดึงดูดนักเรียนต่างชาติให้เข้ามาเรียนในประเทศ มาตรฐานของระบบการศึกษาขั้นสูงนั้นอยู่ในระดับสากล ซึ่งทำให้โอกาสทางการทำงานและตลาดแหล่งงานของนักศึกษาในไอร์แลนด์นั้นมีทั่ว โลก
ในขณะที่นักศึกษาจากต่างประเทศจะได้รับประสบการณ์ทางการศึกษาที่ เต็มปด้วยมิตรภาพจากประเทศไอร์แลนด์ ขณะเดียวกันนักศึกษาเหล่านี้ก็นำความรู้ ประสบการณ์และความเป็นสากลมาสู่คนในสถาบันการศึกษาในไอร์แลนด์ด้วย ดังนั้นความสัมพันธ์แบบยั่งยืนระหว่างนักศึกษาชาวไอริชและนักศึกษาต่างชาติ จึงพัฒนาขึ้นจากระดับความเป็นเพื่อนในชั้นเรียนไปสู่ความเป็นคู่ค้า และ ความสัมพันธ์ทางวัฒนธรรม และธุรกิจระหว่างประเทศในเวลาต่อมา
การศึกษาขั้นสูง
การ ศึกษาขึ้นสูงของไอร์แลนด์ประกอบด้วย สถาบันอุดมศึกษาระดับมหาวิยาลัย (ซึ่งรวมถึงวิทยาลัยแห่งการศึกษาต่างๆ) สถาบันเทคโนโลยี และวิทยาลัยเอกชนอีกหลายแห่ง สถาบันเหล่านี้ล้วนแล้วแต่เป็นสถาบันที่ปกครองตนเอง ไม่ผ่านอำนาจการบริหารจากรัฐบาล แต่ก็ได้รับการสนับสนุนเงินทุนจากรัฐบาล
มหาวิทยาลัย
มีมหาวิยาลัยที่ตั้งอยู่ในเขตเกาะไอร์แลนด์ทั้งหมด 9 แห่ง สองแห่งอยู่ในเขตของประเทศไอร์แลนด์เหนือ--Northern Ireland (ซึ่ง อยู่ภายใต้การปกครองของสหราชอาณาจักร) และอีก 7แห่งอยู่ในอาณาเขตของสาธารณรัฐไอร์แลนด์ มหาวิยาลัยที่เก่าแก่ที่สุดของประเทศ ก่อตั้งในปี 1592 คือมหาวิทยาลัย Trinity College Dublin หรือ อีกชื่อหนึ่งที่เรียกว่า National University of Dublin
รายชื่อของมหาวิทยาลัยทั้ง 7 แห่งมีดังนี้
1. The Trinity College Dublin (TCD, UD)
2. The University College Dublin (UCD)
3. The Dublin City University (DCU)
4. National University of Ireland, Cork (NUI-Cork)
5. National University of Ireland, Galway (NUI-Galway)
6. National University of Ireland, Maynooth (NUI-Maynooth)
7. University of Limerick (UL)
§
NUI-- National University of Ireland เป็นหน่วยงานที่ให้ความดูแลสถาบันมหาวิยาลัยแห่งประเทศไอร์แลนด์ 4 แห่งตามที่กล่าวไปข้างต้น ซึ่งหน่วยงานนี้ก็ทำหน้าที่ควบคุมมาตรฐานของสถาบันมหาวิทยาลัยให้มีมาตรฐาน เท่าเทียมกัน นอกจากนี้ยังมีสถาบันระดับวิทยาลัยในความดูแลของ NUIอีก 3 แห่งคือ
1.National College of Art and Design (NCAD)
2.The Royal College of Surgeons in Ireland (RCSI)
3.St. Angela's College of Education.
มหาวิทยาลัย University of Limerick และ Dublin City University (ก่อตั้งในปี1989) เป็นมหาวิทยาลัยที่เก่าแก่น้อยที่สุดทจากทั้งหมด 7 สถาบัน อย่างไรก็ตาม ทั้งสองมหาวิทยาลัยนี้ก็ยังเป็นมหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียงและผลิตบุคคากร คุณภาพที่มีความสามารถมาสู่ตลาดแรงงานของโลกอย่างมากมาย
มหาวิทยาลัยอีกสองแห่งที่ตั้งอยู่ในไอร์แลนด์เหนือคือ
1. University of Ulster (UU)
2. The Queen's University of Belfast (QUB)
นอก จากมหาวิทยาลัยและวิทยาลัยที่กล่าวมานี้จะเปิดให้การศึกษาในระดับปริญญาตรี ปริญญาโท และปริญญาเอกแล้ว ก็ยังมีการดูแลเรื่องการวิจัยและการพัฒนาอีกด้วย อีกทั้งมหาวิทยาลัยเหล่านี้ยังได้เปิดหลักสูตรประกาศนียบัตรตั้งแต่ระดับ ปริญญาตรีเป็นต้นไปซึ่งก็เปิดโอกาสให้นักเรียนนักศึกษาจากนานาประเทศได้ เลือกตามความต้องการ และความเหมาะสม เช่น ในเรื่องของจุดประสงค์ของการเรียน เวลา และค่าใช้จ่าย เป็นต้น
สถาบันเทคโนโลยี
ปัจจุบัน มีสถาบันเทคโนโลยีจำนวน 14 แห่งกระจายทั่วไปในสาธารณรัฐไอร์แลนด์ที่เปิดการสอนตั้งแต่โปรแกรมในระดับ ประกาศณียบัตร อนุปริญญา และระดับปริญญาบัตรในหลากหลายวิชาสาขา ทั้งในรูปแบบการสอนในห้องเรียน (taught Method) และการทำวิจัย (Research Method)ซึ่งโปรแกรมทั้งหมดจะได้รับการับรองการศึกษาจากหน่วยงานของรัฐบาล ซึ่งทำให้แน่ใจได้ว่าสถาบันเหล่านี้ได้จัดระบบการเรียนการสอนให้มีระดับสูง สุดตามมาตรฐานของสากล รายชื่อของสถาบันเทคโนโลยีทั้ง 14 แห่งมีดังนี้
1. Dublin Institute of Technology (DIT)
2. Athlone Institute of Technology (AIT)
3. Cork Institute of Technology (CIT)
4. Dundulk Institute of Technology (DKIT)
5. Dun Laohaire Institute of Technology (DLIADT)
6. Galway-Mayo Institute of Technology (GMIT)
7. Institute of Technology Blanchardstown (ITB)
8. Institute of Technology Carlow (ITC)
9. Institute of Technology Sligo (ITS)
10. Institute of Technology Tallaght (IT-Tallaght)
11. Institute of Technology Tralee (IT-Tralee)
12. Letterkenny Institue of Technology (LYIT)
13. Limerick Institute of Technology (LIT)
14. Waterford Institute of Technology (WIT)
ปัจจุบัน รัฐบาลของประเทศไอร์แลนด์ได้เล็งเห็นถึงความสำคัญของการโปรโมทการศึกษานัก เรียนนานาชาติ อย่างที่พี่บอกไว้ว่านอกจากนักเรียนต่างชาติจะได้รับประโยชน์จากการศึกษาที่ มีมาตรฐานติดระดับต้นๆในยุโรปแล้ว ประเทศไอร์แลนด์ยังได้รับประโยชน์จากนักเรียนต่างชาติเหล่านี้ในการนำความ เป็นสากลทางด้านความคิด ทรรศนคติจากนักเรียนนานาประเทศ

ประเทศบัลแกเรีย

ประเทศบัลแกเรีย
ข้อมูลทั่วไป
              ประเทศบัลแกเรีย หรือ สาธารณรัฐบัลแกเรีย (Republic of Bulgaria) เป็นประเทศตั้งอยู่ทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ของทวีปยุโรป มีชายฝั่งติดกับทะเลดำไปทางทิศตะวันออก มีพรมแดนติดต่อกับประเทศกรีซและประเทศตุรกีทางตอนใต้ และติอต่อกับประเทศเซอร์เบียและประเทศมาซิโดเนียทางทิศตะวันออก ประเทศบัลแกเรีย เป็นประเทศที่มีชื่อเสียงในเรื่องของ นมเปรี้ยว และโยเกิร์ต อย่างมาก
 
ประวัติศาสตร์
              ประเทศบัลแกเรียมีฐานะเป็นรัฐชาติในปี พ.ศ.1224 ถูกสร้างขึ้นจากชนเผ่า สลาฟและชนชาติบัลการ์ (ชนชาติยูเครนที่อพยพมาตั้งถิ่นฐานในคาบสมุทรบอลข่าน)สมัยนั้นรัฐชาติ ได้ตกอยู่ภายใต้อาณาจักรไบแซนไทน์   ในปี พ.ศ.1561 และต่อมาตกอยู่ภายใต้จักรวรรดิออตโตมาน 5 ศตวรรษ จากปี พ.ศ.1939 จนถึงปี พ.ศ.2421 หลังจากนั้นจึงได้รับการยอมรับในฐานะประเทศเอกราชในระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ ซึ่งปกครองโดยราชวงศ์ Sax-Coberge Gotha โดยมีความสัมพันธไมตรี กับจักรวรรดิรัสเซีย
               ประเทศบัลแกเรียได้เข้าร่วมในสงครามโลกทั้ง 2 ครั้งกับฝ่ายอักษะ และเมื่อเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ในสงครามโลกครั้งที่ 2 จึงถูกกำหนดโดยฝ่ายสัมพันธมิตรให้สหภาพโซเวียตปกครอง บัลแกเรียปกครองโดยระบอบคอมมิวนิสต์ภายหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 เป็นต้นมา และเปลี่ยนแปลงการปกครองไปสู่ระบอบประชาธิปไตยเมื่อปี พ.ศ. 2533
นโยบางต่างประเทศ
              นโยบายการต่างประเทศของบัลแกเรียมุ่งเน้นการเป็นสมาชิกภาพของสหภาพยุโรป และ นาโต ของบัลแกเรีย การเข้าเป็นสมาชิกสหภาพยุโรปเมื่อวันที่ 1 มกราคม พ.ศ.2550 เป็นเหตุการณ์สำคัญสุดในประวัติศาสตร์ ร่วมสมัยของประเทศบัลแกเรีย เพราะการเข้าเป็นสมาชิกเป็นเพียงจุดเริ่มต้นของกระบวนการบูรณาการ ในการที่จะดำรงสมาชิกภาพอย่างสมบูรณ์ประเทศบัลแกเรียต้องดำเนินการปฏิรูปต่อไป โดยเฉพาะในด้านกระบวนการยุติธรรม รวมทั้งการแก้ไขปัญหาการฉ้อราษฎ์บังหลวงและอาชญากรรม ซึ่งยังคงเป็นความท้าทายของบัลแกเรีย โดยคณะกรรมาธิการยุโรปจะตรวจสอบการดำเนินการปฏิรูปในสาขาเหล่านี้ เป็นระยะต่อไปจนกว่าจะพอใจ
              ในด้านเศรษฐกิจบัลแกเรียมีข้อได้เปรียบทางด้านเศรษฐกิจตรงที่ค่าจ้างแรงงานถูก ประชากรมีการศึกษาสูง บัลแกเรียมีความประสงค์ที่จะดึงดูดการลงทุนจากต่างประเทศให้เพิ่มมากขึ้น ซึ่งการเข้าเป็นสมาชิกสหภาพยุโรปได้เพิ่มโอกาสดังกล่าวได้ โดยปัจจุบันมีนักลงทุนจากเยอรมนี อิตาลี ฝรั่งเศสและสหรัฐฯ เข้าไปลงทุนในบัลแกเรียมากขึ้น ปัญหาของบัลแกเรีย คือ มีขีดความสามารถทางการแข่งขันต่ำ ดังนั้น บัลแกเรียจึงต้องเพิ่มสัดส่วนของอุตสาหกรรมที่ใช้เทคโนโลยีชั้นสูง และอุตสาหกรรมเชิงวิทยาศาสตร์ ในขณะเดียวกันบัลแกเรีย ต้องคงระดับต้นทุน ค่าจ้าง วัสดุ และพลังงานไว้ในระดับที่ต่ำต่อไป นอกจากนี้ บัลแกเรียได้ให้ความสำคัญกับนโยบายด้านพลังงานของสหภาพยุโรป โดยเฉพาะพลังงานนิวเคลียร์ และมีความต้องการสร้างโรงงานผลิตพลังงานนิวเคลียร์แห่งใหม่ นอกจากนี้ บัลแกเรียต้องการเป็นศูนย์กลางของเครือข่ายท่อส่งน้ำมันและก๊าซในภูมิภาคาบสมุทรบอลข่าน
 
การแบ่งเขตการปกครอง
              ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2542 บัลแกเรียแบ่งเขตการปกครองออกเป็น 28 จังหวัด (provinces - oblasti) หลังจากที่เดิมแบ่งเป็น 9 จังหวัดตั้งแต่ปี พ.ศ. 2530 โดยที่แต่ละแห่งตั้งชื่อตามเมืองหลวงของจังหวัด โดยที่เมืองหลวงประจำประเทศเป็นจังหวัดหนึ่งแยกต่างหาก
1. มืองบลากอเยฟกราด

2. เมืองบูร์กาส

3. เมืองดอบรีช

4. มืองกาโบรโว

5. มืองฮาสโคโว

6. เมืองคาร์จาลี

7. มืงอคูย์สเตนดิล
8.   เมืองโลเวช
9.   เมืองมอนทานา


10  มืองพาซาร์จีก


11. เมืองเพร์นิก


12. เมืองเพลเวน


13. เมืองพลอฟดิฟ


14. มืองราซกราด
15. มืองรูเซ
16. มืองชูเมน


17. มืองซีลิสตรา


18. มืองสลีเวน


19. มืองสโมลยาน


20. มืองโซเฟีย


21.เมืองสตาราซากอรา
22.เมืองทอร์กอวีชเต
23. เมืองวาร์นา


24. เมืองเวลีโคทาร์โนโว


25. เมืองวีดิน


26. เมืองวราตซา


27. เมืองยามโบล


28. เมืองโซเฟีย

ประเทศโปรตุเกส (Portugal)

ประเทศโปรตุเกส (Portugal)


เด็กดีดอทคอม :: ข้อมูลประเทศโปรตุเกส (Portugal)
ประเทศโปรตุเกส


ชื่อทางการ  สาธารณรัฐโปรตุเกส ( República Portuguesa)
พรมแดน  ติดกับประเทศสเปนในทางทิศเหนือและทิศตะวันออก และอยู่ติดกับมหาสมุทรแอตแลนติกในทางทิศตะวันตกและทิศใต้
ภูมิประเทศ  ทาง ภาคเหนือของโปรตุเกสประกอบด้วยเทือกเขา ที่ราบสูง และ หุบเขาที่มีแม่น้ำไหลผ่าน ซึ่งปกคลุมพื้นที่ราว 1 ใน 3 ของประเทศ บริเวณภาคตะวันตกและภาคใต้ภูมิประเทศเป็นเนินเขาเตี้ยๆ และที่ราบต่ำ ต่อด้วยที่ราบชายฝั่งกว้างใหญ่แล้วค่อยๆลาดลงสู่มหาสมุทรแอตแลนติก แม่น้ำที่สำคัญของโปรตุเกสได้แก่ แม่น้ำโดอุโร (Douro) แม่น้ำกวาเดียน่า (Guadiana) และแม่น้ำเทกัส (Tagus) 
ภาษาทางการ  ภาษาโปรตุเกส
ระบบการปกครอง  ประชาธิปไตยระบบรัฐสภา มีประธานาธิบดีเป็นประมุข ซึ่งมาจากการเลือกตั้งโดยตรง
เมืองหลวง  ลิสบอน
เมืองสำคัญอื่นๆ  ปอร์โต (Porto) โคอิมบรา (Coimbra) เซตูบาล (Satubal) ฟาโร (Faro)
พื้นที่  รวม  92,391 ตร.กม.
สกุลเงิน  ยูโร (€,EUR) โดย 1 EUR ประมาณ 40 บาท
ประชากร  ประมาณ 11 ล้านคน
รหัสโทรศัพท์  351

เด็กดีดอทคอม :: ข้อมูลประเทศโปรตุเกส (Portugal)

        โปรตุเกสเป็นประเทศที่เก่าแก่มากชาติหนึ่งในสหภาพยุโรป และเป็นประเทศที่เกี่ยวข้องกับประวัติศาสตร์ชาติไทยของเรามาเนิ่นนานนับหลาย ร้อยปี  โดยชื่อโปรตุเกสนั้น เป็นชื่อที่ชาวโรมันตั้งให้ว่า Portus Cale ซึ่งมีความหมายว่า "ท่าเรือที่สวยงาม" จึงไม่น่าแปลกใจที่มีนักท่องเที่ยวเป็นจำนวนมากต่างเดินทางไปยังดินแดนแห่ง นี้ ด้วยเพราะโปรตุเกสเป็นประเทศที่สวยงาม มีอากาศอบอุ่น ฤดูหนาวไม่หนาวจัด ทางภาคใต้ของโปรตุเกสมีอากาศอบอุ่นตลอดปี นอกจากนี้การเดินทางยังมีความสะดวกสบาย  การบริการขนส่งสาธารณะ เช่น รถเมล์ รถราง รถไฟใต้ดิน หรือรถแท็กซี่ มีอย่างแพร่หลายและค่อนข้างจะทั่วถึง ค่าครองชีพเมื่อเทียบกับยุโรปด้วยกันแล้วก็ไม่สูง คือราคาอาหารมือหนึ่งตกอยู่ที่ประมาณ 260 บาท น้ำดื่มขวดเล็กตกอยู่ที่ประมาณ 30 บาท ค่าตั๋วรถโดยสารอยู่ที่ประมาณ 50 บาท

เด็กดีดอทคอม :: ข้อมูลประเทศโปรตุเกส (Portugal)



กิจกรรมและสถานที่ท่องเที่ยวที่น่าสนใจในโปรตุเกส เช่น


เมืองคาสเคส (Cascais)
เด็กดีดอทคอม :: ข้อมูลประเทศโปรตุเกส (Portugal)

      เป็นเมืองตากอากาศที่มีชื่อเสียงของประเทศโปรตุเกส เป็นเมืองเล็กๆริมชายฝั่งทะเล แต่เดิมเคยเป็นเมืองท่าที่สำคัญมาก  โดยเมืองคาสเคสนั้นตั้งอยู่ห่างจากลิสบอนไปทางทิศตะวันตกประมาณ 30 กิโลเมตร โดยในอดีตนั้นเมืองคาสเคสนั้นเป็นเพียงหมู่บ้านชาวประมงเล็กๆ ที่มีบรรยากาศอันเงียบสงบ แต่ปัจจุบันได้กลายเป็นที่จุดท่องเที่ยวยอดนิยมสำหรับนักท่องเที่ยวทั้งชาว โปรตุเกสและชาวต่างประเทศ

Padrao dos Descobrimentos
เด็กดีดอทคอม :: ข้อมูลประเทศโปรตุเกส (Portugal)

        หรืออนุสาวรีย์แห่งการค้นพบ (Monument to the Discoveries) เป็นสิ่งก่อสร้างสมัยใหม่ที่สร้างเพื่อระลึกถึงความสำคัญของการเดินเรือของ ชาวโปรตุเกส มีลักษณะเป็นแท่งคอนกรีตสูง 52 เมตร รูปเรือใบ ก่อสร้างขึ้นเมื่อปี 1960 เพื่อฉลองครบรอบ 500 ปี การสิ้นพระชนม์ของพระเจ้าเฮนรี่ (Prince Henry the Navigator)

Mosteiro dos Jeronimos
เด็กดีดอทคอม :: ข้อมูลประเทศโปรตุเกส (Portugal)
        ตั้งอยู่ในเขตเบเลม สถาปัตยกรรมแบบมานูเอลไลน์ (Manuelline)ซึ่งเป็นศิลปะกอธิคในสไตล์โปรตุเกสที่ได้รับอิทธิพลมาจากต่าง ประเทศ  มีลวดลายที่สวยงามของซุ้มประตู หน้าต่างและหัวเสา มีการดัดแปลงมาจากพืชน้ำ เปลือกหอย และ เชือกสมอเรือ ฯลฯ ใช้เวลาสร้างนานถึง 70 ปี โดยองค์การยูเนสโกของสหประชาชาติได้ขึ้นทะเบียนให้อารามหลวงแห่งนี้เป็นมรดก โลกด้วย

หอคอยแห่งเบเลม (Torre de Belem)
เด็กดีดอทคอม :: ข้อมูลประเทศโปรตุเกส (Portugal)

        หอคอยแห่งนี้ถือเป็นสัญลักษณ์ของเมือง แต่ก่อนเคยมีหน้าที่เป็นประภาคารและเป็นป้อมปราการที่คอยปกป้องเขตเบเลม เนื่องจากบริเวณใกล้ๆกันจะมีสิ่งก่อสร้างสำคัญมากมาย ทั้งพระราชวัง อารามหลวง และอื่นๆ ตอนที่เริ่มสร้างใหม่ๆ  หอคอยแห่งนี้สร้างขึ้นในระหว่างปี 1515-1521 โดยได้รับอิทธิพลจากแขกมัวร์ และมีส่วนผสมของศิลปะเรอเนสซองซ์

ร้าน Antiga Confeitaria de Belem
เด็กดีดอทคอม :: ข้อมูลประเทศโปรตุเกส (Portugal)

        เป็นร้านกาแฟที่เก่าแก่ของประเทศโปรตุเกสในกรุงลิสบอน เปิดทำการตั้งแต่ราวศตวรรษที่ 17 จุดเด่นของร้านนี้จะเสิร์ฟกาแฟให้ลูกค้าด้วยถ้วยกาแฟกระเบื้องสีน้ำเงินและ ขาวแบบโบราณ โดยโปรตุเกสเป็นแหล่งค้ากาแฟระหว่างยุโรปกับประเทศในแถบลาตินอเมริกามาเป็น เวลาหลายร้อยปี และเมื่อจิบกาแฟแล้วต้องทานขนมพื้นเมืองคือ คัสตาร์ตทาร์ต ด้วย

พิพิธภัณฑ์รถม้า
เด็กดีดอทคอม :: ข้อมูลประเทศโปรตุเกส (Portugal)

        รถม้าเจริญรุ่งเรืองและสมบูรณ์ที่สุดในช่วงยุโรปตั้งแต่ศตวรรษที่16 ที่สมัยที่โปรตุเกสเรืองอํานาจ ภายในพิพิธภัณฑ์มีรถม้าที่ใช้ในสมัยนั้นซึ่งมีความงดงามมาก โดยรถม้าที่นำมาให้นักท่องเที่ยวชมนี้เคยถูกใช้เป็นพาหนะของกษัตริย์ โปรตุเกสในอดีต และเป็ พาหนะที่ประเทศต่างๆ ส่งมาเป็นเครื่องราชบรรณาการ

ชิมอาหารท้องถิ่น 
เด็กดีดอทคอม :: ข้อมูลประเทศโปรตุเกส (Portugal)


        อาหาร โปรตุเกส ได้ชื่อว่ามีรสชาติอร่อยถูกปากที่สุดประเทศหนึ่งในยุโรปซึ่งนิยมบริโภคปลา เป็นอาหารหลัก อาหารขึ้นชื่อของประเทศนี้คือ บาคัลเยา (Bacalhau) หรือ ปลาคอดดองเกลือ นอกจากนี้หลายคนคงจะเคยได้ยินกันมาบ้างว่า ประเทศโปรตุเกสเป็นผู้เข้ามาถ่ายทอดวิธีทำขนมหวานให้กับบรรพบุรุษของไทย จนได้ประยุกต์เป็นขนมหวาน เช่นพวกทองหยิบ ทองหยอด ฝอยทอง ดังนั้นเมื่อได้ไปโปรตุเกสก็ควรไปชิมของหวานของโปรตุเกส เช่น Pastel de Mata และ Ovos Moles เป็นต้น

 

เนเธอร์แลนด์

เนเธอร์แลนด์ - ธงชาติ

ข้อมูลโดยทั่วไปของเนเธอร์แลนด์


ขนาดพื้นที่ของประเทศ: 41,528 ตารางกิโลเมตร (ร้อยละ 18.41 เป็นส่วนของน้ำ)
จำนวนประชากร: มากกว่า 16.5 ล้านคน
ความหนาแน่นของประชากร: 488 คนต่อตารางกิโลเมตร
เมืองหลวง: อัมสเตอร์ดัม (Amsterdam)
ภาษาราชการ: ภาษาดัชต์ และ ภาษาฟรีเซียน (ส่วนใหญ่จะถูกใช้ในฟรีซแลนด์เท่านั้น)
ศาสนา:
ร้อยละ 27 นับถือนิกายโรมันคาทอลิก
ร้อยละ 17 นับถือนิกายโปแตสแตนท์
ร้อยละ 6 นับถือศาสนาอิสลาม
ร้อยละ 1 นับถือศาสนาฮินดู
ร้อยละ 1 นับถือศาสนาพุทธ
สกุลเงิน: ยูโร
อุณหภูมิเฉลี่ยในช่วงเดือนกรกฎาคม: 17.4 องศาเซลเซียส
อุณหภูมิเฉลี่ยในช่วงเดือนมกราคม: 2.8 องศาเซลเซียส
ภูมิประเทศ
ภูมิประเทศของเนเธอร์ แลนด์จะมีแม่น้ำถึง 3 สายหลัก คือ แม่น้ำไรน์, แม่น้ำเมิส และแม่น้ำสเกลต์ ไหลลงสู่มหาสมุทรโดยผ่านเนเธอร์แลนด์ โดยร้อยละ 26 ของประเทศของอยู่ต่ำกว่าระดับน้ำทะเล จึงทำให้ประเทศเนเธอร์แลนด์เป็นประเทศที่มีการจัดการในเรื่องของน้ำดีแห่ง หนึ่งในโลก
เศรษฐกิจ
เนเธอร์แลนด์เป็นประเทศ ที่มีเศรษฐกิจค่อนข้างมั่นคน โดยประมาณร้อยละ 75 ของประชากรทั้งหมดทำงานอยู่ในระดับออฟฟิศ ทางด้านการจัดการ การบริหาร (Tertiary Sector) และอีกประมาณร้อยละ 25 ทำงานในส่วนของอุตสาหกรรม มีเพียงร้อยละ 4 เท่านั้นที่ทำในภาคของการเกษตร
นอกจากนี้ เนเธอร์แลนด์ยังเป็นประเทศที่เป็นผู้ส่งออกทางด้านการเกษตรและผลิตภัณฑ์พืช สวนต่าง ๆ และเนเธอร์แลนด์ยังมีบริษัทและยี่ห้อต่าง ๆ ที่คนไทยเองก็รู้จัก และยังรู้จักไปทั่วโลกด้วนั่นก็คือ Shell, Unilever, Akzo Nobel, Philips, Aegon, ING Group, Rabobank, Heineken, TNT และ Randstad
การกีฬา
กีฬาที่ยอดนิยมที่สุดใน เนเธอร์แลนด์มีทั้ง ฟุตบอล, ฮอกกี้, เทนนิส, จักรยาน, กอล์ฟ, วอลเลย์บอล, คอฟต์บอล, แฮนด์บอล, ว่ายน้ำ และสเก็ตน้ำแข็ง
ซึ่งจะเห็นว่าสีประจำกีฬาโดยเฉพาะฟุตบอล นั่นคือ สีส้ม ซึ่งหลาย ๆ คนอาจแปลกใจ เนื่องจากสีส้มนั้นไม่ใช่สีของธงชาติแต่อย่างใด แต่สีส้มนั้นมีความสัมพันธ์กับครอบครัวของกษัตริย์ชาวดัตช์ ดังนั้นจึงกลายเป็นสีประจำชาติในการแข่งขันกีฬาต่าง ๆ และกลายเป็น “Orange Fever” ดังที่เราจะเห็นในการแข่งขันกีฬาสำคัญในปัจจุบัน
เพลงชาติ: เพลง “Het Wilhelmus”
ลักษณะของชาวดัตช์
ชาวดัตช์ส่วนใหญ่เป็นคนที่มีความคิดสร้างสรรค์, มีมนุษย์สัมพันธ์ที่ดี, เปิดใจรับฟังความคิดเห็น, เป็นคนตรงไปตรงมา มีความซื่อสัตย์

วันพุธที่ 10 ตุลาคม พ.ศ. 2555

ฝรั่งเศส


ฝรั่งเศส

 
  
ธงชาติฝรั่งเศส
 
  
ตราประเทศฝรั่งเศส
ข้อมูลทั่วไปประเทศฝรั่งเศส
สาธารณรัฐฝรั่งเศสเป็นประเทศที่มีศูนย์กลางตั้งอยู่ในภูมิภาคยุโรปตะวันตก ทั้งยังประกอบไปด้วยเกาะและดินแดนอื่นๆ ในต่างทวีป ประเทศฝรั่งเศสแผ่นดินใหญ่ทอดตัวตั้งแต่ทะเลเมดิเตอร์เรเนียนจนถึงช่องแคบอังกฤษและทะเลเหนือ และจากแม่น้ำไรนจนถึงมหาสมุทรแอตแลนติกชาวมักเรียกแผ่นดินใหญ่ว่า หกเหลี่ยม (L'Hexagone)เนื่องจากรูปทรงทางกายภาพของประเทศ ประเทศฝรั่งเศสปกครองด้วยระบอบกึ่งประธานาธิบดี โดยยึดอุดมการณ์จากปฏิญญาว่าด้วยสิทธิของมนุษย์และของพลเมืองประเทศมีพรมแดนติดกับประเทศเบลเยียม ลักเซมเบิร์ก เยอรมนี สวิตเซอร์แลนด์ อิตาลี โมนาโก อันดอร์รา สเปน และเนื่องจากประเทศฝรั่งเศสมีดินแดนโพ้นทะเลไว้ในครอบครอง ทำให้มีอาณาเขตติดกับประเทศบราซิลและซูรินาเม (ติดกับเฟรนช์เกียนาและหมู่เกาะอินดีสเนเธอร์แลนด์ตะวันตก (ติดกับแซงต์-มาร์แตง)อีกด้วย นอกจากนั้นประเทศฝรั่งเศสยังเชื่อมกับสหราชอาณาจักรทางอุโมงค์ช่องแคบอังกฤษอีกด้วยประเทศฝรั่งเศสเคยเป็นหนึ่งในประเทศมหาอำนาจของโลกตั้งแต่คริสต์ศตวรรษที่ 17เป็นต้นมาในคริสต์ศตวรรษที่ 18 และ 19 จักรวรรดิฝรั่งเศสเป็นหนึ่งในประเทศจักรวรรดินิยมที่มีอาณานิคมในครอบครองมากที่สุดในโลกแผ่อาณาเขตตั้งแต่แอฟริกาตะวันตกจนถึงเอเชียอาคเนย์ ซึ่งเห็นได้ชัดจากอิทธิพลทางวัฒนธรรม ภาษาและการเมืองการปกครองของดินแดนนั้นๆ ประเทศฝรั่งเศสถูกจัดให้เป็นประเทศที่พัฒนาแล้วและมีเศรษฐกิจใหญ่เป็นอันดับที่ 6ของโลก ประเทศฝรั่งเศสยังเป็นประเทศที่มีนักท่องเที่ยวมากที่สุดในโลกอีกด้วย โดยมีนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติกว่า 82ล้านคนต่อปี ประเทศฝรั่งเศสเป็นประเทศผู้ก่อตั้งสหภาพยุโรปและมีพื้นที่ใหญ่ที่สุดในกลุ่มประเทศอีกด้วย ประเทศฝรั่งเศสยังเป็นประเทศผู้ก่อตั้งสหประชาชาติ เป็นสมาชิกประชาคมผู้ใช้ภาษาฝรั่งเศสโลกจีแปด นาโต้และ สหภาพละติน ประเทศฝรั่งเศสยังเป็นสมาชิกถาวรของคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติและเป็นมหาอำนาจนิวเคลียร์ที่มีหัวรบนิวเคลียร์กว่า 360 หัวรบและเตาปฏิกรณ์นิวเคลียร์ 59 แห่ง
ประวัติศาสตร์ประเทศฝรั่งเศส
 
  
นโปเลียนผู้ยิ่งใหญ่
ชาวฝรั่งเศสสืบเชื้อสายมาจากพวกโกลในศตวรรษที่ 1จากนั้นตกมาอยู่ใต้การปกครองของพวกแฟรงก์ (ชื่อประเทศ Franceมาจากคำว่าแฟรงก์เช่นกัน) ปกครองด้วยระบอบกษัตริย์ที่มีบันทึกว่าเริ่มในศตวรรษที่ 5เมื่อพระเจ้าชาร์เลอมาญตั้งจักรวรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์ ใน ค.ศ. 843 ก็มีอาณาเขตครอบคลุมทั้งฝรั่งเศสและเยอรมนี ราชสำนักฝรั่งเศสขึ้นสู่จุดสูงสุดในรัชสมัยพระเจ้าหลุยส์ที่ 14 ซึ่งในยุคนี้ฝรั่งเศสได้เป็นประเทศที่มีประชากรมากที่สุดในยุโรป และมีอำนาจทางการเมือง เศรษฐกิจ ศิลปะ และวัฒนธรรมต่อยุโรปเป็นอย่างมากฝรั่งเศสปกครองด้วยระบอบกษัตริย์จนถึงการปฏิวัติฝรั่งเศสในปี ค.ศ. 1792 จึงเปลี่ยนมาใช้ระบอบสาธารณรัฐ หลังจากนั้นนโปเลียน โบนาปาร์ตได้ตั้งตัวเองเป็นจักรพรรดิและรุกรานประเทศอื่น ๆ ในทวีปยุโรป เมื่อ นโปเลียนพ่ายแพ้ ฝรั่งเศสจึงกลับมาใช้ระบบสาธารณรัฐอีกครั้ง เรียกว่ายุคสาธารณรัฐที่สองแต่ก็อยู่ได้ไม่นานเพราะหลุยส์ นโปเลียน หลานลุงของนโปเลียนได้ยึดประเทศและตั้งจักรวรรดิที่สองอีกครั้ง
ตั้งแต่ต้นคริสต์ศตวรรษที่ 17 ถึง ทศวรรษที่ 60 ซึ่งเป็นยุคล่าอาณานิคม จักรวรรดิฝรั่งเศสมีพื้นที่ใหญ่มาก โดยช่วงที่ใหญ่ที่สุดคือช่วงยุคทศวรรษที่ 20 ถึง 30 ซึ่งมีกว่า 12,898,000 ตารางกิโลเมตร และเป็นจักรวรรดิอันดับสองของโลก รองมาจากจักรวรรดิอังกฤษ
ฝรั่งเศสได้รับความบอบช้ำอย่างหนักจากสงครามโลกทั้งสองครั้ง ปัจจุบันใช้การปกครองระบอบประชาธิปไตยแบบที่มีทั้งประธานาธิบดี และนายกรัฐมนตรี (เรียกยุคสาธารณรัฐที่ห้า) ทศวรรษที่ผ่านมาฝรั่งเศสและเยอรมนีเป็นผู้นำของการรวมตัวตั้งประชาคมยุโรป ซึ่งพัฒนามาเป็นสหภาพยุโรปในปัจจุบัน
วัฒนธรรมและประชากรประเทศฝรั่งเศส
วัฒนธรรม ชาวฝรั่งเศสมีวัฒนธรรมการนอนกลางวัน จึงส่งผลให้ประเทศอาณานิคมของฝรั่งเศสชอบนอนกลางวันตามไปด้วย อย่างไรก็ตามในส่วนลึกของวัฒนธรรม คล้ายคลึงกับของอังกฤษและอิตาลีอยู่แล้ว ไม่สามารถแบ่งได้ชัดเจนเด่นชัด เช่น การจับมือ ภาษา เป็นต้นประชากร ประชากร ประชากรจำนวน 62.2 ล้านคน (ปี 2005) ความหนาแน่นของประชากร 96 คนต่อตารางกิโลเมตรเมืองมีประชากรมากกว่า 100,000 คนมีถึง 57 เมือง
สภาพภูมิอากาศประเทศฝรั่งเศส
ในฝรั่งเศสนับเป็นข้อได้เปรียบประการหนึ่งทางด้านการท่องเที่ยวโดยทั่วไปสามารถแบ่งเขตอากาศในฝรั่งเศส
ออกเป็น4เขตใหญ่ๆคือ -เขตอากาศแบบมหาสมุทรทางภาคตะวันตกของประเทศ ได้แก่ พื้นที่ Bayonne - Lille
ซึ่งมีความชื้นสูง เย็นสบายในช่วงฤดูร้อน
-เขตอากาศแบบกึ่งแผ่นดินใหญ่ ได้แก่ พื้นที่ Alsace Lorraine พื้นที่ตามแนวแม่น้ำ Rhône และพื้นที่ภูเขา
(Alpes - Pyrenees - Massif Central) ซึ่งหนาวเย็นมากในฤดูหนาว และค่อนข้างร้อนในฤดูร้อน
-เขตอากาศแบบปานกลางซึ่งหนาวเย็นในฤดูหนาวและอบอุ่นใน ฤดูร้อน ได้แก่ ภาคเหนือของประเทศ พื้นที่ปารีส
และปริมณฑล และในเขตตอนกลางประเทศ
-เขตอากาศแบบเมดิเตอร์เรเนียน ซึ่งไม่หนาวมากนักในฤดูหนาว แต่ร้อนมากในฤดูร้อน
ภาษา
ภาษาฝรั่งเศส (Francais)
สกุลเงิน
ใช้เงินสกุลยูโร (EURO) โดย 1 ยูโร มีค่าประมาณ 45บาทไทย ชนิดของธนบัตรมีตั้งแต่ 5, 10, 20, 50, 100, 200 และ 500 ยูโร ส่วนชนิดของเหรียญประกอบด้วย 1, 2, 5, 10, 20, 2, 1 ยูโร และ50 เซนต์ ณ วันที่ 20 ธันวาคม
ศุลกากร
ผู้เดินทางที่ไม่ใช่ประชากรสหภาพยุโรปต้องแสดงรายการสินค้า เพื่อเสียภาษีในกรณีที่ราคาเกินกว่า 175 ยูโร ขึ้นไป วัตถุต้องห้าม นำเข้า ได้แก่ ยาเสพย์ติดและยาผิดกฎหมาย อาวุธ พืชมีชีวิต งาช้าง ฯลฯ
สิ่งที่ควรทำ-ไม่ควรทำประเทศฝรั่งเศส
1.คุณสามารถกล่าวทักทายว่าบงชู (Bonjour)ซึ่งหมายถึงสวัสดีตอนเช้า หรือ บงซัว (Bonsoir)ที่หมายถึงสวัสดีตอนเย็น และกล่าวลาเมื่อจะจากไปด้วยคำว่า "โอ(เครอ)วัว(Au revoir)"ที่แปลว่า ลาก่อนและกล่าวขอบคุณว่า "แม็กซิ (Merci)
2. วิธีทักทายสำหรับคนที่รู้จักกันนั้นคือการแลกจูบแก้มซึ่งกันและกันไม่ว่าคู่ทักทายของคุณจะเป็นหญิงหรือชาย ตามงานพิธีต่างๆ ชาวฝรั่งเศสใช้วิธีชนแก้มกันทั้งสองข้าง ว่ากันว่าชาวปารีสนิยมแนบแก้มกันถึง 4 ครั้ง ถ้าเป็นเมืองนอกเขตปารีสทำเพียง 2 ครั้ง
3. เมื่อไปรับประทานอาหารตามภัตราคารอย่าตะโกนเรียกบริหรว่า"การ์ซ็อง(garcon)"ที่ตรงกันกับภาษาอังกฤษว่าboy ซึ่งในภาษาฝรั่งเศสถือว่าไม่สุภาพ ควรเรียกว่าเมอซิเออร์ และกล่าวคำว่า ซิล วู เปล ซึ่งแปลว่ากรุณา เวลาสั่งอาหารหรือขออะไรเพิ่มเติมจึงถือว่าสุภาพและควรถอดหมวก เสื้อคลุม โอเวอร์โค๊ดหรือแจ้กเก็ต เพื่อแสดงความเคารพต่อสถานที่ก่อนทุกครั้ง
4. สนามหญ้าในฝรั่งเศสมีไว้ให้ดูและชื่นชมความเขียวชอุ่ม ห้ามแตะต้องเด็ดขาด ยกเว้นตามสนามหญ้าที่เปิดเป็นสาธารณะ หากคุณละเมิดกฏเข้าไปในสนามหญ้าซึ่งมีป้าย pelouse interdite แปลว่า สนามหญ้าห้ามเข้า กำกับอยู่ ถือว่าคุณทำผิดกฏหมาย
5. เมื่อชาวฝรั่งเศสต้องการโบกมือลาเขาจะยกมือพร้อมกับขยับนิ้วขึ้นลง ๆ
6. รถแท็กซี่ในฝรั่งเศสนั่งได้ 3 คน เฉพาะที่ตรงด้านหลังคนขับเท่านั้นที่นั่งด้านขวามือข้างหน้าคู่กับคนขับนั้น มักไว้ให้เป็นที่นั่งของสัตว์เลี้ยง
สถานที่ท่องเที่ยวแนะนำประเทศฝรั่งเศส
 
  
หอไอเฟล
หอไอเฟล(Eiffel)
หอไอเฟลเป็นหนึ่งในสิ่งก่อสร้างที่โด่งดังที่สุดแห่งหนึ่งของโลก โดยตั้งชื่อตามสถาปนิกผู้ออกแบบ "กุสตาฟ ไอเฟล" ในปี พ.ศ. 2549 นักท่องเที่ยวกว่า 6,719,200 คนได้เข้าเยี่ยมชมสถานที่แห่งนี้ และกว่า 200,000,000 คนตั้งแต่เริ่มก่อสร้าง ส่งผลให้หอไอเฟลเป็นสิ่งก่อสร้างที่มีคนเข้าชมมากที่สุดต่อปีอีกด้วย หอไอเฟลมีความสูง 324 เมตร (1,063 ฟุต) (รวมเสาอากาศสูง 24 เมตร (79 ฟุต)) ซึ่งก็สูงเท่ากับตึก 81 ชั้นเมื่อหอไอเฟลสร้างเสร็จในปี พ.ศ. 2432 (ค.ศ. 1889) หอไอเฟลกลายเป็นอนุสาวรีย์วอชิงตัน และได้ครองตำแหน่งนี้มาเรื่อยๆ จนกระทั่งปี พ.ศ. 2473 (ค.ศ. 1930) ก็ได้เสียตำแหน่งให้แก่ตึกไครส์เลอร์ (319 เมตร หรือ 1,047 ฟุต) ที่เพิ่งสร้างเสร็จ ปัจจุบันฟอไอเฟลสูงเป็นอันดับที่ 5 ในประเทศฝรั่งเศสและสูงที่สุดในกรุงปารีส ซึ่งอันดับสองคือ หอมงต์ปาร์นาสส์(Tour Montparnasse - 210 เมตร หรือ 689 ฟุต)
ซึ่งในไม่ช้าจะถูกแทนที่โดยหออาอิกซ์อา (Tour AXA - 225.11 เมตร หรือ 738.36 ฟุต)หอไอเฟลมีความสูง 300 เมตร (986 ฟุต) ซึ่งไม่รวม เสาอากาศ 24 เมตร (72 ฟุต) ด้านบนนั้น ถ้าเปรียบเทียบกับตึกแล้วจะมีประมาณ 75 ชั้น ในขณะที่ก่อสร้างปี พ.ศ. 2432 (ค.ศ. 1889) หอไอเฟลนั้นเป็นสิ่งก่อสร้างที่สูงที่สุดบนโลก โดยถูกล้มตำแหน่งเมื่อเมืองนิวยอร์กได้สร้าง ตึกไครสเลอร์ สูง 319 เมตร (1047 ฟุต)
น้ำหนักเหล็กที่ใช้ก่อสร้างนั้นทั้งหมด 7,300 ตัน และถ้ารวมทั้งหมดก็เป็น 10,000 ตัน ส่วนจำนวนบันไดนั้นเปลี่ยนแปลงตลอด เมื่อแรกเริ่มนั้นมี 1710 ขั้น ในทศวรรษที่ 1980 มี 1920 ขั้น และในปัจจุบัน มี 1665 ขั้น
 
 
  
พิพิธภัณฑ์ลูฟร์
พิพิธภัณฑ์ลูฟร์ (Louvre museum)
พิพิธภัณฑ์ลูฟร์ออกแบบโดย ไอ. เอ็ม. เป สถาปนิกชาวจีน-อเมริกันชื่อดังเป็นหนึ่งในพิพิธภัณฑ์ที่ใหญ่ที่สุดในโลก มีพื้นที่กว่า 60,000 ตารางเมตร ภายในบรรจุงานศิลป์ อายุ  ยาวนานกว่า 11 ศตวรรษ จำนวน ประมาณ 380,000 ชิ้น ทั้งรูปปั้น ภาพวาด อย่างเช่น ภาพเขียนโมนาลิซา, The Virgin and Child with St. Anne, Madonna of the Rocks ผลงานของเลโอนาร์โด ดาวินชี หรือภาพ Venus de Milo ของอเล็กซานดรอสแห่ง Antioch และมีเพียงงานปั้นและภาพวาด 30,000 ชิ้น เท่านั้นที่นานๆจะนำออกมาแสดงหากจะย้อนดูความเป็นมาของพิพิธภัณฑ์แห่งนี้ คงต้องย้อนไปถึง ศตวรรษที่ 12 เมื่อครั้งที่กษัตริย์ ฟิลิปเป้ ออกัสเต้ ได้ก่อสร้างป้อมปราการเพื่อป้องกันกรุงปารีสจากหมู่โจรสลัด โดยจุดที่เลือกก่อตั้งคือริมแม่น้ำเซน ป้อมปราการ และคูคลองยุคกลางยังคงมีให้เห็นในปัจจุบันนี้ต่อมาฟรังเชสที่ 1 ได้รื้อถอน ตึก เก่า แล้วได้สร้างขึ้นใหม่เป็นพระราชวังหลวงและที่พักในช่วงปฏิวัติอุตสาหกรรมของฝรั่งเศส ซึ่งได้กลายเป็นสถานที่ที่ดีเยี่ยมสำหรับจัดแสดงของสะสมของกษัตริย์นับแต่นั้นมา  นอกจากนี้สถานที่แห่งนี้ยังเคยเป็นที่จัดงานแต่งของนโปเลียนผู้ยิ่งใหญ่แห่งจักรวรรดิฝรั่งเศสอีกด้วย
ในปี พ.ศ. 2549 พิพิธภัณฑ์ลูฟร์มีผู้มาเยี่ยมชมเป็นจำนวน 8.3 ล้านคน ทำให้เป็นพิพิธภัณฑ์ที่มีผู้มาเยี่ยมชมมากที่สุดในโลกและยังเป็นสถานที่ที่มีนักท่องเที่ยวมาเยือนมากที่สุดในกรุงปารีส
 
 
  
พระราชวังแวร์ซายส์
พระราชวังแวร์ซายส์ (Versaille Palace)
พระราชวังแวร์ซายส์ เป็นพระราชวังหลวงแห่งหนึ่งของประเทศฝรั่งเศส ตั้งอยู่ที่เมืองแวร์ซายส์ ซึ่งปัจจุบันเป็นส่วนหนึ่งของมหานครปารีส พระราชวังแวร์ซายส์เป็นพระราชวังที่ยิ่งใหญ่และสวยงามแห่งหนึ่งของโลก และนับเป็นหนึ่งในเจ็ดสิ่งมหัศจรรย์ของโลกยุคปัจจุบันด้วย เดิมนั้น เมืองแวร์ซายส์เป็นเพียงเมืองเล็ก ๆ แห่งหนึ่งเท่านั้น มีผู้คนอาศัยอยู่เบาบาง บริเวณส่วนใหญ่เป็นป่าเขา เยี่ยงชนบทอื่น ๆ ของฝรั่งเศส เมื่อพระเจ้าหลุยส์ที่ 13 ยังทรงพระเยาว์ ขณะพระชนมายุได้ 23 พระชันษา ทรงนิยมล่าสัตว์ในป่า และทรงเห็นว่าตำบลแวร์ซายส์น่าจะเหมาะแก่การประทับเพื่อล่าสัตว์ จึงโปรดเกล้าฯ ให้สร้างพระตำหนักขึ้นมาใน พ.ศ. 2167 โดยในช่วงแรกเป็นเพียงกระท่อมเล็กๆ สำหรับพักชั่วคราวเท่านั้น
เมื่อ พระเจ้าหลุยส์ที่ 14 แห่งฝรั่งเศส ขึ้นครองบัลลังก์ มีประสงค์ที่จะสร้างพระราชวังแห่งใหม่ เพื่อเป็นศูนย์กลางในการปกครองของพระองค์ จึงเริ่มปรับปรุงพระตำหนักเดิมในปี พ.ศ. 2204 ใช้เงินทั้งหมด 500,000,000 ฟรังก์ คนงาน 30,000 คน และใช้เวลาอยู่ถึง 30 ปีจึงแล้วเสร็จใน พ.ศ. 2231 ทุกส่วนทำด้วยหินอ่อนสีขาว เป็นแบบอย่างศิลปกรรมที่งดงามมาก ภาย ในแบ่งออกเป็นห้องๆ เช่น ห้องบรรทม ห้องเสวย ห้องสำราญ ฯลฯ ทุกห้องล้วนมีเครื่องประดับงดงามตระการตาและภาพเขียนที่มีชื่อเสียง การก่อสร้างพระราชวังแวร์ซายส์แห่งนี้ได้นำเงินมาจากค่าภาษีอากรของราษฎรชาวฝรั่งเศส ต่อมาจึงได้มีกองทัพประชาชนบุกเข้ายึดพระราชวังและจับ พระเจ้าหลุยส์ที่ 16 กับพระนางมารี อองตัวเนต ประหารด้วยกิโยตินในวันที่ 6 ตุลาคม พ.ศ. 2332 ปัจจุบันพระราชวังแวร์ซายส์ยังอยู่ในสภาพดีและเปิดให้ประชาชนเข้าชมได้
 
 
  
ประตูชัยฝรั่งเศส
ประตูชัยฝรั่งเศส (Arc de triomphe)
เป็นอนุสรณ์สถานที่สำคัญในกรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส ตั้งอยู่กลางจัตุรัสชาร์ลส์ เดอ โกลล์หรือเป็นที่รู้จักกันในนาม จัตุรัสแห่งดวงดาวทิศตะวันตกของชองป์-เซลิเซ่ส์ ประตูชัยแห่งนี้สร้างขึ้นเพื่อเป็นการสดุดีวีรชนทหารกล้าที่ได้ร่วมรบเพื่อประเทศฝรั่งเศส โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสงครามนโปเลียน และในปัจจุบันยังเป็นสุสานของทหารนิรนามอีกด้วย ประตูชัยนี้เป็นส่วนหนึ่งของ"แนวเส้นตรงทางประวัติศาสตร์" (L'Axe historique) ซึ่งเป็นถนนเส้นตรงจากสวนพิพิธภัณฑ์ลูฟร์ไปยังชานเมืองปารีส ประตูชัยแห่งนี้ออกแบบโดยฌอง ชาลแกร็งในปีพ.ศ. 2349 โดยมียุวชนเปลือยชาวฝรั่งเศสกำลังต่อสู้กับทหารเยอรมัน เต็มไปด้วยเคราและใส่เกราะเป็นสัญลักษณ์เพื่อเป็นการปลุกใจ และเป็นอนุสรณ์สถานจนกระทั่งสงครามโลกครั้งที่ 1 ประตูชัยฝรั่งเศสมีความสูง 49.5 เมตร (165 ฟุต) กว้าง 45 เมตร (148 ฟุต) และลึก 22 เมตร (72 ฟุต) เป็นประตูชัยที่ใหญ่เป็นอันดับสองของโลกที่ปรากฏอยู่ในปัจจุบัน
แบบของประตูชัยฝรั่งเศสนี้ได้แนวความคิดมาจากประตูชัยไตตัส ประตูชัยฝรั่งเศสมีความใหญ่มาก เพราะหลังจากมีการสวนสนามในปรุงปารีสเมื่อปี พ.ศ. 2462 นีอูปอร์ต (Nieuport) ผ่านกลางประตูชัยฝรั่งเศสเพื่อเป็นการสดุดีเหล่าทหารอากาศที่ได้เสียชีวิตในสงครามโลกครั้งที่ 1 ประตูชัยฝรั่งเศสเป็นหนึ่งในอนุสรณ์สถานที่โด่งดังที่สุดแห่งหนึ่งของกรุงปารีสได้ถูกมอบหมายให้สร้างในปี พ.ศ. 2349 หลังจากจักรพรรดินโปเลียนที่ 1ได้รับชัยชนะในยุทธการเอาสเตอร์ลิทซ์ กว่าจะวางรากฐานของการก่อสร้างก็ใช้เวลาเกือบ 2 ปีไปแล้ว และในปี พ.ศ. 2353 เมื่อจักรพรรดินโปเลียนที่ 1 เสด็จกรุงปารีสจากทางทิศตะวันตกพร้อมด้วยเจ้าสาว อาร์คดัชเชสมารี หลุยส์แห่งออสเตรีย ประตูชัยฝรั่งเศสก็ถูกสร้างขึ้นด้วยไม้ในแบบจำลองเท่านั้นเอง สถาปนิก ฌอง ชาลแกร็ง ได้เสียชีวิตลงในปี พ.ศ. 2354 ดังนั้นอูยงจึงได้ดูแลงานนี้ต่อมา ในช่วงราชวงศ์บูร์บงฟื้นฟู การก่อสร้างได้หยุดชะงักลงและไปเสร็จสิ้นในรัชสมัยพระเจ้าหลุยส์-ฟิลิปป์ในระหว่าง พ.ศ. 2376 - พ.ศ. 2379 โดยสถาปนิกคือกูสต์ ต่อมาคืออูโยต์ ภายใต้การดูแลของหลุยส์-เอเตียนน์ เอริการ์ต เดอ ตูรี (Louis-Étienne Héricart de Thury)